
ต้อกระจกเป็นปัญหาทางสายตาที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ และอาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย อาการของต้อกระจกสามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ทำให้มองเห็นไม่ชัด หรือแม้กระทั่งสูญเสียการมองเห็นหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม บทความนี้จะอธิบายเกี่ยวกับอาการ สาเหตุ และแนวทางการดูแลรักษาต้อกระจกอย่างละเอียด
อาการของต้อกระจก
ต้อกระจกเป็นภาวะที่เลนส์ตาของเราขุ่นมัวขึ้น ทำให้แสงไม่สามารถผ่านเข้าสู่จอประสาทตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติทางสายตา อาการที่พบบ่อย ได้แก่:
- การมองเห็นไม่ชัด – ผู้ป่วยอาจรู้สึกว่าสายตาพร่ามัว มองเห็นคล้ายมีหมอกปกคลุม
- ไวต่อแสง – แสงจ้าอาจทำให้เกิดอาการแสบตาหรือเห็นแสงกระจายมากกว่าปกติ
- เห็นแสงสะท้อนหรือเงาซ้อน – โดยเฉพาะในเวลากลางคืน อาจทำให้เกิดปัญหาในการขับรถตอนกลางคืน
- การเปลี่ยนสีของการมองเห็น – ผู้ป่วยอาจมองเห็นสีต่าง ๆ เปลี่ยนไปจากเดิม โดยเฉพาะสีเหลืองหรือสีน้ำตาล
- ต้องเปลี่ยนแว่นสายตาบ่อยครั้ง – อาการของต้อกระจกสามารถทำให้ค่าสายตาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
- สูญเสียการมองเห็นในที่มืด – ผู้ป่วยอาจมองเห็นลดลงในที่มีแสงน้อย
- มองเห็นภาพซ้อน – อาจเกิดขึ้นในตาข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง
หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับคำแนะนำเกี่ยวกับการรักษา
สาเหตุของต้อกระจก
ต้อกระจกสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดภาวะนี้ ได้แก่:
1. อายุที่เพิ่มขึ้น
- เป็นสาเหตุหลักของต้อกระจก เนื่องจากเลนส์ตาจะมีการเสื่อมสภาพตามธรรมชาติ ทำให้เกิดความขุ่นมัว
2. พันธุกรรม
- หากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นต้อกระจก ความเสี่ยงของการเกิดโรคอาจสูงขึ้น
3. ภาวะทางสุขภาพ
- โรคบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน สามารถเพิ่มโอกาสการเกิดต้อกระจก
4. การได้รับแสงแดดมากเกินไป
- รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) สามารถทำลายเลนส์ตาได้ จึงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ
5. การใช้ยาเป็นเวลานาน
- ยาสเตียรอยด์ โดยเฉพาะเมื่อใช้เป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดต้อกระจกได้
6. การบาดเจ็บทางตา
- อุบัติเหตุที่กระทบต่อดวงตาสามารถทำให้เลนส์ตาเสียหายและเกิดต้อกระจกได้
7. พฤติกรรมการใช้ชีวิต
- การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดต้อกระจก
8. ภาวะขาดสารอาหาร
- การขาดสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซี และวิตามินอี อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดต้อกระจกได้
การดูแลรักษาต้อกระจก
ต้อกระจกสามารถรักษาได้โดยการผ่าตัดเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ในระยะเริ่มต้นอาจมีการดูแลรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ ได้เช่นกัน
1. การเปลี่ยนพฤติกรรมและดูแลดวงตา
- สวมแว่นกันแดดที่สามารถป้องกันรังสี UV
- รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ และถั่ว
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์
- ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำเพื่อเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของเลนส์ตา
2. การใช้แว่นสายตาและเลนส์กรองแสง
- แว่นสายตาสามารถช่วยให้มองเห็นได้ดีขึ้นในระยะเริ่มต้นของโรค
- เลนส์กรองแสงสีฟ้าหรือเลนส์ที่ช่วยลดแสงสะท้อน อาจช่วยบรรเทาอาการไวต่อแสงได้
3. การผ่าตัดต้อกระจก
- เป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุดในการรักษาต้อกระจก
- ศัลยแพทย์จะทำการนำเลนส์ตาที่ขุ่นมัวออก และใส่เลนส์แก้วตาเทียม (Intraocular Lens - IOL) เข้าไปแทนที่
- การผ่าตัดใช้เวลาสั้น ฟื้นตัวเร็ว และมีโอกาสสำเร็จสูง
- ปัจจุบันมีเลนส์เทียมหลายชนิดให้เลือก เช่น เลนส์ที่ช่วยปรับสายตายาว-สั้น เลนส์ตัดแสงสีฟ้า หรือเลนส์ที่ช่วยแก้ปัญหาสายตาเอียง
4. การดูแลหลังการผ่าตัด
- ยาหยอดตาตามที่แพทย์สั่งเพื่อลดการอักเสบและป้องกันการติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงการขยี้ตาหรือสัมผัสตาโดยตรง
- งดการออกกำลังกายหนักและกิจกรรมที่อาจทำให้เกิดแรงกระแทกบริเวณดวงตา
- ควรพบแพทย์ตามนัดเพื่อตรวจติดตามอาการหลังการผ่าตัด
บทสรุป
ต้อกระจกเป็นภาวะที่พบได้บ่อยและสามารถรักษาให้หายได้หากได้รับการดูแลที่เหมาะสม การเฝ้าระวังอาการและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงสามารถช่วยลดโอกาสการเกิดต้อกระจกได้ หากมีอาการผิดปกติทางสายตา ควรรีบพบจักษุแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสม การผ่าตัดต้อกระจกเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงและช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามองเห็นได้อย่างชัดเจนอีกครั้ง