ปัจจัยที่ทำให้เกิด ต้อกระจก

Screenshot 2568-03-30 at 09.15.37

ต้อกระจกเป็นปัญหาทางสายตาที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ และอาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย อาการของต้อกระจกสามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ทำให้มองเห็นไม่ชัด หรือแม้กระทั่งสูญเสียการมองเห็นหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม บทความนี้จะอธิบายเกี่ยวกับอาการ สาเหตุ และแนวทางการดูแลรักษาต้อกระจกอย่างละเอียด

อาการของต้อกระจก

ต้อกระจกเป็นภาวะที่เลนส์ตาของเราขุ่นมัวขึ้น ทำให้แสงไม่สามารถผ่านเข้าสู่จอประสาทตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติทางสายตา อาการที่พบบ่อย ได้แก่:

  • การมองเห็นไม่ชัด – ผู้ป่วยอาจรู้สึกว่าสายตาพร่ามัว มองเห็นคล้ายมีหมอกปกคลุม
  • ไวต่อแสง – แสงจ้าอาจทำให้เกิดอาการแสบตาหรือเห็นแสงกระจายมากกว่าปกติ
  • เห็นแสงสะท้อนหรือเงาซ้อน – โดยเฉพาะในเวลากลางคืน อาจทำให้เกิดปัญหาในการขับรถตอนกลางคืน
  • การเปลี่ยนสีของการมองเห็น – ผู้ป่วยอาจมองเห็นสีต่าง ๆ เปลี่ยนไปจากเดิม โดยเฉพาะสีเหลืองหรือสีน้ำตาล
  • ต้องเปลี่ยนแว่นสายตาบ่อยครั้ง – อาการของต้อกระจกสามารถทำให้ค่าสายตาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
  • สูญเสียการมองเห็นในที่มืด – ผู้ป่วยอาจมองเห็นลดลงในที่มีแสงน้อย
  • มองเห็นภาพซ้อน – อาจเกิดขึ้นในตาข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง

หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับคำแนะนำเกี่ยวกับการรักษา

สาเหตุของต้อกระจก

ต้อกระจกสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดภาวะนี้ ได้แก่:

1. อายุที่เพิ่มขึ้น

  • เป็นสาเหตุหลักของต้อกระจก เนื่องจากเลนส์ตาจะมีการเสื่อมสภาพตามธรรมชาติ ทำให้เกิดความขุ่นมัว

2. พันธุกรรม

  • หากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นต้อกระจก ความเสี่ยงของการเกิดโรคอาจสูงขึ้น

3. ภาวะทางสุขภาพ

  • โรคบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน สามารถเพิ่มโอกาสการเกิดต้อกระจก

4. การได้รับแสงแดดมากเกินไป

  • รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) สามารถทำลายเลนส์ตาได้ จึงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ

5. การใช้ยาเป็นเวลานาน

  • ยาสเตียรอยด์ โดยเฉพาะเมื่อใช้เป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดต้อกระจกได้

6. การบาดเจ็บทางตา

  • อุบัติเหตุที่กระทบต่อดวงตาสามารถทำให้เลนส์ตาเสียหายและเกิดต้อกระจกได้

7. พฤติกรรมการใช้ชีวิต

  • การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดต้อกระจก

8. ภาวะขาดสารอาหาร

  • การขาดสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซี และวิตามินอี อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดต้อกระจกได้

การดูแลรักษาต้อกระจก

ต้อกระจกสามารถรักษาได้โดยการผ่าตัดเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ในระยะเริ่มต้นอาจมีการดูแลรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ ได้เช่นกัน

1. การเปลี่ยนพฤติกรรมและดูแลดวงตา

  • สวมแว่นกันแดดที่สามารถป้องกันรังสี UV
  • รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ และถั่ว
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์
  • ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำเพื่อเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของเลนส์ตา

2. การใช้แว่นสายตาและเลนส์กรองแสง

  • แว่นสายตาสามารถช่วยให้มองเห็นได้ดีขึ้นในระยะเริ่มต้นของโรค
  • เลนส์กรองแสงสีฟ้าหรือเลนส์ที่ช่วยลดแสงสะท้อน อาจช่วยบรรเทาอาการไวต่อแสงได้

3. การผ่าตัดต้อกระจก

  • เป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุดในการรักษาต้อกระจก
  • ศัลยแพทย์จะทำการนำเลนส์ตาที่ขุ่นมัวออก และใส่เลนส์แก้วตาเทียม (Intraocular Lens - IOL) เข้าไปแทนที่
  • การผ่าตัดใช้เวลาสั้น ฟื้นตัวเร็ว และมีโอกาสสำเร็จสูง
  • ปัจจุบันมีเลนส์เทียมหลายชนิดให้เลือก เช่น เลนส์ที่ช่วยปรับสายตายาว-สั้น เลนส์ตัดแสงสีฟ้า หรือเลนส์ที่ช่วยแก้ปัญหาสายตาเอียง

4. การดูแลหลังการผ่าตัด

  • ยาหยอดตาตามที่แพทย์สั่งเพื่อลดการอักเสบและป้องกันการติดเชื้อ
  • หลีกเลี่ยงการขยี้ตาหรือสัมผัสตาโดยตรง
  • งดการออกกำลังกายหนักและกิจกรรมที่อาจทำให้เกิดแรงกระแทกบริเวณดวงตา
  • ควรพบแพทย์ตามนัดเพื่อตรวจติดตามอาการหลังการผ่าตัด

บทสรุป

ต้อกระจกเป็นภาวะที่พบได้บ่อยและสามารถรักษาให้หายได้หากได้รับการดูแลที่เหมาะสม การเฝ้าระวังอาการและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงสามารถช่วยลดโอกาสการเกิดต้อกระจกได้ หากมีอาการผิดปกติทางสายตา ควรรีบพบจักษุแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสม การผ่าตัดต้อกระจกเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงและช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามองเห็นได้อย่างชัดเจนอีกครั้ง

Leave a Comment

Scroll to Top